เคล็ด(ไม่)ลับ ช่วยคุณพ่อคุณแม่ฝึกลูกน้อยนั่งคาร์ซีท

ฝึกลูกนั่งคาร์ซีทอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ

เคล็ด (ไม่) ลับ ช่วยคุณพ่อคุณแม่ฝึกลูกนั่งคาร์ซีท

คาร์ซีท

 

ก่อนการพาลูกน้อยเดินทางไปทำธุระหรือท่องเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ ด้วยรถยนต์โดยสารส่วนตัวเป็นครั้งแรก คุณพ่อคุณแม่ทุกคนที่เข้าใจถึงความสำคัญของการใช้งานคาร์ซีท (Car Seat) เป็นอย่างดีย่อมทำการวางแผนและจัดเตรียมคาร์ซีทเด็กแรกเกิดหรือคาร์ซีทเด็กโต (Booster Seat) มาให้กับลูกน้อยของตนเองได้ใช้งาน

เพื่อเป็นการช่วยเพิ่มความปลอดภัยในระหว่างการเดินทางด้วยรถยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม หนึ่งในปัญหาใหญ่ที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนล้วนต้องเผชิญหน้าหลังจากที่ได้ทำการลองให้ลูกน้อยของตนเองนั่งบนเบาะที่นั่งคาร์ซีทเป็นครั้งแรกนั้น คือการที่เด็ก ๆ ส่วนใหญ่มักจะเริ่มร้องไห้กระจองอแง และเริ่มขยับพลิกตัวไปมาจนทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายคนเกิดความวิตกกังวลและไม่สบายใจจนตัดสินใจให้ลูกน้อยของตนเองเลิกนั่งบนเบาะที่นั่งคาร์ซีทในท้ายที่สุด จนอาจนำไปสู่ความเสี่ยงต่อการที่เด็ก ๆ จะได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงในขณะที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้ เพราะฉะนั้นแล้วในวันนี้ Britax Thailand จึงมีเคล็ด (ไม่) ลับดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณพ่อและคุณแม่ทุกคนสามารถฝึกให้ลูกน้อยของตนเองนั่งอยู่บนเบาะที่นั่งคาร์ซีททั้งคาร์ซีทเด็กแรกเกิดและคาร์ซีทเด็กโต (Booster Seat) ได้อย่างสบายตัวและมีความสุขตลอดการเดินทาง

เคล็ด (ไม่) ลับ ช่วยคุณพ่อคุณแม่ฝึกลูกน้อยนั่งบนคาร์ซีท

  1. ฝึกให้ลูกนั่งคาร์ซีทให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
    หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้คุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครองทุกคนสามารถฝึกให้ลูกน้อยของตนเองเคยชินกับการนั่งอยู่บนเบาะที่นั่งคาร์ซีทเด็กแรกเกิดหรือคาร์ซีทเด็กโต (Booster Seat) ในระหว่างการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลนั้น คือ การฝึกให้ลูกน้อยของตนเองใช้งานเบาะที่นั่งคาร์ซีทให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยถ้าเป็นไปได้ควรให้ใช้งานคาร์ซีทตั้งแต่วันแรกที่เดินทางออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับบ้าน เพื่อเป็นการช่วยสร้างความคุ้นเคยและช่วยเพิ่มความปลอดภัยในระหว่างการเดินทางให้มากยิ่งขึ้น


    เนื่องจากการฝึกให้ลูกน้อยนั่งอยู่บนเบาะที่นั่งของคาร์ซีทเด็กแรกเกิดตั้งแต่ยังเป็นทารก จะช่วยกระตุ้นให้เด็ก ๆ รวมถึงคุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครองทุกคน เกิดการซึมซับพฤติกรรมการนั่งคาร์ซีทดังกล่าวจนเกิดเป็นความรู้สึกคุ้นชินกับการใช้งานคาร์ซีทได้มากกว่าการฝึกใช้งานคาร์ซีทในตอนที่เด็ก ๆ เริ่มโตขึ้นมาแล้ว ซึ่งความคุ้นชินดังกล่าวนี้เองก็จะส่งผลต่อการที่เด็ก ๆ ทุกคนที่นั่งคาร์ซีทเด็กแรกเกิดมาตั้งแต่ยังเป็นทารกจึงมักจะไม่ร้องไห้งอแงหรือพยายามขยับดึงตัวเองออกมาจากสายรัดนิรภัยและเบาะที่นั่งคาร์ซีทเด็กแรกเกิดและคาร์ซีทเด็กโต (Booster Seat) ในระหว่างการเดินทางจนอาจก่อให้เกิดอันตรายได้นั่นเอง

  2. จัดท่าทางของลูกน้อยในระหว่างที่นั่งอยู่บนเบาะที่นั่งคาร์ซีทให้ถูกต้องและสบายตัว
    สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกน้อยอยู่ในวัยเด็กเล็กหรือเด็กโตนั้น การจัดท่าทางของลูกน้อยในระหว่างที่นั่งอยู่บนเบาะที่นั่งคาร์ซีทเด็กโต หรือ Booster Seat อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับคุณพ่อคุณแม่ทุกคนเท่าไหร่นัก เพราะเด็ก ๆ ในช่วงวัยนี้เป็นช่วงวัยที่สามารถบอกกล่าวหรือแสดงความต้องการของตนเองออกมาได้ ส่งผลให้คุณพ่อคุณแม่จึงสามารถทำการพูดคุยพร้อมทั้งช่วยลูกน้อยปรับท่าทางการนั่งบนเบาะที่นั่งคาร์ซีทได้อย่างเหมาะสม เพื่อความสะดวกสบายในการใช้งานคาร์ซีทหรือคาร์ซีทเด็กโต (Booster Seat) ที่มากยิ่งขึ้น


    แต่อย่างไรก็ตามสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมีลูกน้อยอยู่ในช่วงวัยทารก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทารกวัยแรกเกิดที่มีอายุน้อยกว่า 5 เดือน คุณพ่อคุณแม่ทุกคนจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับการจัดท่าทางของลูกน้อยในระหว่างที่กำลังนั่งอยู่บนเบาะที่นั่งคาร์ซีทเด็กแรกเกิดมากเป็นพิเศษ โดยท่าทางที่เหมาะสมของทารกวัยแรกเกิดที่นั่งอยู่บนเบาะที่นั่งคาร์ซีทควรเป็นท่าปรับเอนนอนในระดับ 135-170 องศา เพื่อให้คาร์ซีทสามารถช่วยรองรับกล้ามเนื้อที่บริเวณคอที่ยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ และช่วยป้องกันไม่ให้ทารกแรกเกิดได้รับอันตรายจากการนั่งในท่าทางที่ไม่ถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์ในระหว่างการเดินทาง

  3. เช็กความพร้อมของลูกน้อยในขณะที่กำลังนั่งอยู่บนเบาะที่นั่งคาร์ซีทอย่างสม่ำเสมอ
    การร้องไห้งอแงของลูกน้อยในระหว่างที่กำลังนั่งอยู่บนเบาะที่นั่งคาร์ซีทเด็กแรกเกิดและคาร์ซีทเด็กโต (Booster Seat) เป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกการเดินทาง แต่อย่างไรก็ตามการร้องไห้ดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ เพราะฉะนั้นแล้วคุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครองทุกคนจึงจำเป็นที่จะต้องหมั่นตรวจเช็กความพร้อมของลูกน้อยในขณะที่กำลังนั่งอยู่บนเบาะที่นั่งคาร์ซีทอย่างสม่ำเสมอ


    และนอกจากนี้ยังควรคอยตรวจสอบด้วยว่ามีสาเหตุอะไรที่อาจส่งผลให้ลูกน้อยเกิดความรู้สึกไม่สบายตัวในระหว่างที่กำลังนั่งอยู่บนคาร์ซีทเด็กแรกเกิดหรือคาร์ซีทเด็กโต (Booster Seat) จนนำไปสู่การร้องไห้หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น ลูกน้อยเกิดอาการหิวหรือไม่ ผ้าอ้อมแฉะหรือเปล่า อุณหภูมิในรถหนาวหรือร้อนเกินไปไหม ในบริเวณที่ลูกน้อยนั่งอยู่มีแสงแดดตกกระทบมาแยงตาหรือทำให้ลูกน้อยเกิดความรู้สึกร้อนหรือไม่ รวมไปถึงมีข้าวของอะไรในรถที่อาจทำให้ลูกน้อยรู้สึกกลัวหรือไม่ปลอดภัยรึเปล่า เป็นต้น

    เพื่อที่คุณพ่อและคุณแม่ทุกคนจะได้สามารถจัดการแก้ไขสาเหตุดังกล่าวได้อย่างถูกต้อง และช่วยให้ลูกน้อยเกิดความรู้สึกที่ดีในระหว่างที่กำลังนั่งอยู่บนคาร์ซีทที่มากยิ่งขึ้น

  4. ฝึกให้ลูกน้อยนั่งคาร์ซีทอย่างต่อเนื่อง
    เมื่อลูกน้อยร้องไห้ในขณะที่กำลังนั่งอยู่บนเบาะที่นั่งคาร์ซีทเด็กแรกเกิดหรือคาร์ซีทเด็กโต (Booster Seat) คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คนก็มักจะล้มเลิกความตั้งใจในการให้ลูกน้อยของตัวเองใช้งานคาร์ซีทในระหว่างการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลไปโดยปริยาย เนื่องด้วยไม่อยากให้ลูกน้อยของตัวเองต้องร้องไห้งอแงหรือพยายามดิ้นออกจากเบาะที่นั่งคาร์ซีทไปตลอดการเดินทาง ซึ่งแน่นอนว่าวิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการที่ผิดเป็นอย่างมากเพราะการไม่ให้เด็ก ๆ ใช้งานคาร์ซีทเด็กแรกเกิดหรือคาร์ซีทเด็กโต (Booster Seat) อาจส่งผลทำให้เด็ก ๆ ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงจนนำไปสู่การเสียชีวิตในขณะที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ไม่คาดฝันได้


    เพราะฉะนั้นแล้ว หากคุณพ่อคุณแม่พบว่าลูกน้อยของตนเองกำลังร้องไห้อย่างเอาแต่ใจในขณะที่กำลังนั่งอยู่บนเบาะที่นั่งคาร์ซีทเด็กแรกเกิดและคาร์ซีทเด็กโต (Booster Seat) สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนควรทำ คือ การไม่มอง ไม่สนใจ และเพิกเฉยต่อพฤติกรรมดังกล่าว เพื่อแสดงออกให้ลูกรู้ว่าพฤติกรรมที่กำลังทำอยู่นั้นไม่สามารถเรียกร้องความสนใจจากคุณพ่อคุณแม่ได้ ซึ่งจะส่งผลต่อการที่เด็ก ๆ จะค่อย ๆ เลิกร้องไห้หรือเลิกดิ้นออกจากเบาะที่นั่งคาร์ซีทที่กำลังนั่งอยู่ไปเอง รวมถึงสามารถปรับใจให้ยอมรับกับการนั่งอยู่บนคาร์ซีทเด็กแรกเกิดและคาร์ซีทเด็กโต (Booster Seat) ในระหว่างการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลได้ดีมากยิ่งขึ้น

  5. เลือกใช้งานคาร์ซีทจากบริษัทผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน
    ในบางครั้งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็ก ๆ ส่วนใหญ่ไม่ชื่นชอบการนั่งอยู่บนเบาะที่นั่งคาร์ซีทมักมีสาเหตุมาจากการที่ตัวเบาะที่นั่งของทั้งคาร์ซีทเด็กแรกเกิดและคาร์ซีทเด็กโต (Booster Seat) นั้นไม่ได้ถูกออกแบบและผลิตขึ้นมาอย่างได้คุณภาพและถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์ รวมถึงไม่ได้มีเทคโนโลยีที่จะสามารถเข้ามาช่วยซัพพอร์ตท่าทางการนั่งของเด็ก ๆ ที่จะมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่ละช่วงวัยได้อย่างเหมาะสม จนนำไปสู่การที่ทั้งทารกวัยแรกเกิด เด็กเล็ก และเด็กโตไม่สามารถนั่งอยู่บนเบาะที่นั่งคาร์ซีทเด็กแรกเกิดและคาร์ซีทเด็กโต (Booster Seat) ได้อย่างพอดีและสบายตัวในระหว่างการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคล

    เพราะฉะนั้นแล้วในการเลือกใช้งานคาร์ซีทเด็กแรกเกิดและคาร์ซีทเด็กโต (Booster Seat) นอกเหนือไปจากการเลือกประเภทของคาร์ซีทให้มีความเหมาะสมกับเด็ก ๆ ในแต่ละช่วงวัยแล้วนั้น การเลือกซื้อคาร์ซีทจากบริษัทผู้ผลิตที่ได้คุณภาพและได้รับการรับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัยในการใช้งานคาร์ซีทในระดับสากล ก็ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เด็ก ๆ ทุกคนได้มีโอกาสใช้งานคาร์ซีทที่ถูกออกแบบและผลิตขึ้นมาอย่างประณีตและใส่ใจ จนได้ออกมาเป็นคาร์ซีท (Car Seat) ที่จะสามารถช่วยให้เด็ก ๆ ทุกคนสามารถนั่งอยู่บนเบาะที่นั่งคาร์ซีทเด็กแรกเกิดและคาร์ซีทเด็กโต (Booster Seat) ได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัยตลอดการเดินทาง


โดย Britax คือ บริษัทผู้ผลิตคาร์ซีท (Car Seat) จากเยอรมันที่ปลอดภัยที่สุด ด้วยมาตรฐานความปลอดภัยอย่าง ECE R44 และ ECE R129 หรือ i-Size และระบบคาร์ซีท ISOFIX รายแรกของโลก อีกทั้งยังได้รางวัลการันตีความปลอดภัยอีกมากมายจากหลายสถาบันในอุตสาหกรรมรถยนต์ และที่ Britax Thailand เราให้ความเชื่อมั่นกับลูกค้าว่า ลูกค้าทุกท่านจะได้รับสินค้าที่มีการรักษามาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในทุก ๆ ขั้นตอน เพื่อให้คุณพ่อและคุณแม่ทุกท่านสามารถไว้วางใจในคุณภาพและความสบายของลูกน้อยในระหว่างการใช้งานคาร์ซีท คาร์ซีทเด็กแรกเกิด และ รถเข็นเด็ก ทุกรุ่นของ Britax ได้เป็นอย่างดีเสมอ และเรายังมีบริการดูแลและรับประกันสินค้าถึง 24 เดือนในกรณีสินค้าชำรุดสามารถตรวจสอบเงื่อนไขการรับประกันสินค้าได้ทางหน้าเว็บไซต์ทันที

 

   

 


สอบถามเพิ่มเติมและสั่งซื้อ

Call center : 02 538 6700

Call center : 084 388 3887

Email : Info@BritaxThailand.com

Line: @britaxthailand

 

Visitors: 735,148