วิธีตรวจเช็กว่าคาร์ซีทที่ใช้ได้มาตรฐานหรือไม่

วิธีตรวจเช็กว่าคาร์ซีทที่ใช้ได้มาตรฐานหรือไม่

วิธีการตรวจสอบเกี่ยวกับมาตรฐานในการใช้งานของคาร์ซีท

คาร์ซีท

ก่อนที่จะมีการเลือกซื้อคาร์ซีท (Car seat) มาให้ลูกน้อยของตัวเองได้ใช้งาน เพื่อเป็นการช่วยเพิ่มความปลอดภัยในระหว่างการเดินทางรถยนต์ส่วนบุคคล คุณพ่อและคุณแม่มือใหม่ทุกคนมีปัจจัยที่จะต้องทำการตัดสินใจก่อนการเลือกซื้อคาร์ซีทมากมายไม่ว่าจะเป็นปัจจัยในด้านของรูปแบบ ไลฟ์สไตล์ รวมไปถึงความสะดวกสบายในการใช้งานคาร์ซีท แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยที่คุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครองทุกคนควรให้ความสำคัญมากที่สุดในระหว่างการพิจารณาเลือกซื้อคาร์ซีทนั้น คือ ปัจจัยในด้านของ "ความปลอดภัย" ในการใช้งานคาร์ซีท เพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ไม่คาดฝันสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

ส่งผลให้การเลือกใช้งานคาร์ซีทเด็กหรือคาร์ซีท isofix ที่ได้คุณภาพและได้รับการรับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัยในระดับสากล จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครองทุกคนสามารถช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันลูกน้อยของตนเองจากการบาดเจ็บรุนแรงในระหว่างที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้ เพราะฉะนั้นแล้วลองมาดูไปพร้อม ๆ กันเลยว่า ก่อนการพิจารณาเลือกซื้อคาร์ซีท คาร์ซีท isofix หรือแม้แต่การเลือกใช้งานคาร์ซีทเด็กที่ได้รับมาเป็นของขวัญ คุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครองทุกคนจำเป็นที่จะต้องมีวิธีการในการตรวจสอบเกี่ยวกับมาตรฐานของคาร์ซีทเด็กอย่างไรบ้าง


วิธีการตรวจเช็กว่าคาร์ซีทที่ใช้ได้มาตรฐานหรือไม่ ?

  1. คาร์ซีทเด็กที่ผลิตในยุโรปจะต้องมีฉลากหรือป้ายกำกับรับรองมาตรฐาน ECE R44/04 และ ECE R129 (i-Size)

    มาตรฐานด้านความปลอดภัยของคาร์ซีทเด็ก อย่าง มาตรฐาน ECE R44/04 Child Restraint Systems และมาตรฐาน ECE R129 (i-Size) ถือได้ว่าเป็นมาตรฐานสำคัญในระดับสากลที่ถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อการช่วยตรวจสอบความปลอดภัยในการใช้งาน และความสามารถของคาร์ซีทในการช่วยปกป้องเด็กเล็กและทารกแรกเกิดทุกคนที่นั่งอยู่บนเบาะที่นั่งของคาร์ซีทเด็กในระหว่างที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ผ่านการนำเอาคาร์ซีทมาเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบความปลอดภัยด้านการชนตามกฎระเบียบของสหภาพยุโรป ทั้งการชนจากด้านหน้า ด้านหลัง ด้านข้าง รวมไปถึงการชนแบบพลิกคว่ำหลายตลบ (Rollover Test) ร่วมกับหุ่นทดสอบการชน เพื่อช่วยในการจำลองให้เห็นถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกายของเด็ก ๆ ในขณะที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น


    โดยสำหรับคาร์ซีททุกตัวที่ผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัยในการใช้งาน และได้รับการรับรองมาตรฐาน ECE R44/04 และ ECE R129 (i-Size) จากสหภาพยุโรป จะต้องมีฉลากหรือป้ายกำกับติดอยู่ที่บริเวณด้านใต้หรือด้านหลังของเบาะที่นั่งคาร์ซีทในส่วนที่เป็นพลาสติก โดยคาร์ซีทเด็กที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน ECE R44/04 จะได้รับป้ายรับรองมาตรฐานสีส้มที่ระบุข้อมูลที่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่น รหัสตามมาตรฐานอ้างอิงที่ใช้ในการผลิตคาร์ซีท, รหัสหน้าอิงที่ใช้ในการรับรองการทดสอบของคาร์ซีทในรุ่นนั้น ๆ, ประเทศที่ได้รับการอนุมัติ รวมไปถึงรายละเอียดของบริษัทและโรงงานผู้ผลิตคาร์ซีท เป็นต้น และสำหรับคาร์ซีทเด็ก หรือคาร์ซีท isofix ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน ECE R129 หรือ i-Size จะสามารถตรวจสอบได้จากป้ายรับรองมาตรฐานสีส้ม ที่จะมีการระบุข้อมูลสำคัญเช่นเดียวกันกับป้ายของมาตรฐาน ECE R44/04 และป้ายสัญลักษณ์สีเหลืองที่มีรูปของเด็กนั่งอยู่บนคาร์ซีทและสัญลักษณ์รูปตัว i ปรากฏอยู่ที่บริเวณมุมล่างขวา โดยป้ายสัญลักษณ์ที่แสดงการรับรองมาตรฐาน ECE R129 หรือ i-Size ทั้ง 2 รูปแบบนี้จะมีการระบุคำว่า i-Size อย่างชัดเจน เพื่อช่วยให้คุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครองทุกคนสามารถสังเกตเห็นและทำความเข้าใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

  2. คาร์ซีทเด็กที่ผลิตในสหรัฐอเมริกาจะต้องมีฉลากหรือป้ายกำกับรับรองมาตรฐาน FMVSS 213

    เช่นเดียวกันกับคาร์ซีทที่ถูกผลิตขึ้นมาจากประเทศในแถบยุโรป คาร์ซีทเด็กที่ถูกผลิตขึ้นมาในสหรัฐอเมริกาจำเป็นที่จะต้องได้รับการรับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัยในการใช้งานคาร์ซีทด้วยมาตรฐาน FMVSS 213 (Federal Motor Vehicle Safety Standards for Child Restraint Systems) ซึ่งถือได้ว่าเป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยระดับสากล ที่ถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อเป็นการช่วยให้คุณพ่อและคุณแม่ที่กำลังพิจารณาเลือกซื้อคาร์ซีทให้กับลูกน้อยของตัวเองสามารถมั่นใจได้ว่า คาร์ซีทเด็กที่ตนเองได้ทำการเลือกซื้อมาใช้งานนั้นจะสามารถช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บที่รุนแรงเมื่อเกิดการชน การกระแทก หรือการปะทะในระหว่างที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ไม่คาดฝันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

    สำหรับคาร์ซีทที่ถูกผลิตขึ้นในสหรัฐอเมริกาที่ผ่านการทดสอบการชนที่บริเวณด้านหน้าและด้านข้างของรถยนต์ จะได้รับฉลากหรือสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการรับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัย FMVSS 213 ซึ่งจะสังเกตได้จากการที่ฉลากสัญลักษณ์ดังกล่าวมีข้อความที่ระบุว่า "This restraint system conforms to all applicable federal motor vehicle safety standards. This restraint is certified for use in all motor vehicles and aircraft" ซึ่งถือได้ว่าเป็นข้อความที่ใช้ในการบ่งบอกถึงข้อกำหนดที่สำคัญในการทดสอบคาร์ซีทเด็กให้มีความปลอดภัยสอดคล้องกับระเบียบข้อบังคับตามมาตรฐาน FMVSS 213 นั่นเอง

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

      

  1. คาร์ซีทเด็กจะต้องมีป้ายระบุช่วงเวลาที่ผลิตอย่างชัดเจน

    เชื่อว่าในตอนนี้ยังมีคุณพ่อ คุณแม่ รวมไปถึงผู้ปกครองอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วคาร์ซีทเด็กหรือคาร์ซีท isofix นั้น ก็มีอายุการใช้งานที่จำกัดเช่นเดียวกันกับอุปกรณ์และข้าวของเครื่องใช้อื่น ๆ สำหรับเด็กเล็กและทารกวัยแรกเกิด เนื่องจากวัสดุที่นำมาใช้ในการประกอบขึ้นรูปเป็นคาร์ซีทเด็ก หรือคาร์ซีท isofix ไม่ว่าจะเป็น โฟมในเบาะที่นั่งคาร์ซีท ผ้าคลุมเบาะที่นั่ง โครงพลาสติก รวมไปถึงเชือกไนลอนที่นำมาใช้ทำสายรัดนิรภัย ล้วนเกิดการเสื่อมสภาพทั้งจากการใช้งานและการสัมผัสโดนความร้อนจากแสงแดดที่ส่องผ่านเข้ามาภายในตัวรถยนต์อยู่ตลอดเวลา จนทำให้คาร์ซีทเด็กส่วนใหญ่จึงมักจะมีอายุการใช้งานที่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอยู่ที่ประมาณ 6-10 ปี เท่านั้น

    เพราะฉะนั้นแล้วคาร์ซีทเด็กและคาร์ซีท isofix ที่ได้มาตรฐานจึงจำเป็นที่จะต้องมีฉลากระบุช่วงเวลาที่ได้มีการผลิตคาร์ซีทขึ้นมาอย่างชัดเจน เพื่อช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ทุกท่านสามารถทำการตรวจสอบได้ว่า คาร์ซีทเด็กที่ตนเองกำลังใช้งานอยู่นั้นจะมีวันหมดอายุการใช้งานเมื่อไหร่ เพื่อช่วยให้คุณพ่อและคุณแม่ทุกคนสามารถเตรียมความพร้อมสำหรับการจัดหาคาร์ซีทตัวใหม่มาให้กับลูกน้อยของตนเองได้อย่างทันท่วงที เพื่อความปลอดภัยที่มากที่สุดของลูกน้อยในระหว่างการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคล

  2. คาร์ซีทเด็กจะต้องถูกผลิตขึ้นมาจากบริษัทที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล
    ท่ามกลางคาร์ซีทและคาร์ซีท isofix ที่มีวางจำหน่ายอยู่มากมายในท้องตลาด ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของบริษัทผู้ผลิตคาร์ซีทถือได้ว่าเป็นเครื่องการันตีชิ้นสำคัญที่จะช่วยให้คุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครองทุกท่านที่กำลังมองหาคาร์ซีทเด็กหรือคาร์ซีท isofix มาให้กับลูกน้อยของตนเองได้ใช้งาน สามารถมั่นใจได้ว่า คาร์ซีทเด็กหรือคาร์ซีท isofix ที่ตนเองได้ทำการเลือกซื้อมานั้นเป็นคาร์ซีทที่ถูกผลิตขึ้นมาด้วยวัสดุ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีที่มีความทันสมัย พร้อมด้วยความใส่ใจในทุกกระบวนการและขั้นตอนการผลิตคาร์ซีท รวมไปถึงยังสามารถมั่นใจได้ว่าคาร์ซีทเด็กทุกตัวนั้นได้ถูกนำมาเข้ารับการทดสอบด้านความปลอดภัยและผ่านการรับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัยในระดับสากลทั้งมาตรฐาน ECE R44/04 Child Restraint Systems และมาตรฐาน ECE R129 (i-Size) จากสหภาพยุโรป และมาตรฐาน FMVSS 213 จากสหรัฐอเมริกา เพื่อช่วยให้คาร์ซีทและคาร์ซีท isofix ทุกตัวนั้นเป็นคาร์ซีทที่สามารถช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับเด็ก ๆ ในระหว่างการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลได้อย่างแท้จริง


โดย Britax คือ บริษัทผู้ผลิตคาร์ซีท (Car Seat) จากเยอรมันที่ปลอดภัยที่สุด ด้วยมาตรฐานความปลอดภัยอย่าง ECE R44 และ ECE R129 หรือ i-Size และระบบคาร์ซีท ISOFIX รายแรกของโลก อีกทั้งยังได้รางวัลการันตีความปลอดภัยอีกมากมายจากหลายสถาบันในอุตสาหกรรมรถยนต์ และที่ Britax Thailand เราให้ความเชื่อมั่นกับลูกค้าว่า ลูกค้าทุกท่านจะได้รับสินค้าที่มีการรักษามาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในทุก ๆ ขั้นตอน เพื่อให้คุณพ่อและคุณแม่ทุกท่านสามารถไว้วางใจในคุณภาพและความสบายของลูกน้อยในระหว่างการใช้งานคาร์ซีทเด็ก และ รถเข็นเด็ก ทุกรุ่นของ Britax ได้เป็นอย่างดีเสมอ และเรายังมีบริการดูแลและรับประกันสินค้าถึง 24 เดือนในกรณีสินค้าชำรุดสามารถตรวจสอบเงื่อนไขการรับประกันสินค้าได้ทางหน้าเว็บไซต์ทันที


สอบถามเพิ่มเติมและสั่งซื้อ

Call center : 02 538 6700

Call center : 084 388 3887

Email : Info@BritaxThailand.com

Line: @britaxthailand

 

Visitors: 729,331