เมื่อไหร่ที่ลูกน้อยควรเปลี่ยนมานั่ง Booster seat ได้แล้ว

เมื่อไหร่ที่ลูกน้อยควรเปลี่ยนมานั่ง Booster seat ได้แล้ว

จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกน้อยถึงวัยต้องเปลี่ยนมานั่ง Booster seat

คุณพ่อ คุณแม่ หรือครอบครัวที่กำลังมีลูกน้อยที่อยู่ในวัยทารกแรกเกิดหรือเด็กเล็กทุกคนคงจะรู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีกับเบาะที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กภายในรถยนต์อย่าง “คาร์ซีท” แต่เชื่อว่ายังมีผู้ปกครองอีกหลาย ๆ คนในที่นี้อาจจะยังไม่รู้ว่าคาร์ซีทเด็กนั้นไม่ได้มีเพียงแค่คาร์ซีทแบบกระเช้าสำหรับเด็กแรกเกิด และคาร์ซีทแบบทั่วไปสำหรับเด็กวัยหัดเดินหรือเด็กเล็กเพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยคาร์ซีทเด็กนั้นยังมีอีกหนึ่งรูปแบบที่สำคัญนั่นก็คือ Booster seat หรือคาร์ซีทเด็กโต ที่ทำหน้าที่เป็นเก้าอี้นิรภัยภายในรถยนต์ เพื่อช่วยให้เด็ก ๆ ที่มีน้ำหนักหรือส่วนสูงที่มากเกินกว่าที่จะสามารถนั่งอยู่บนเบาะของคาร์ซีทแบบทั่วไปได้อย่างพอดีตัว สามารถได้รับการปกป้องอย่างปลอดภัยมากที่สุดในระหว่างการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลเหมือนอย่างเช่นการนั่งอยู่บนเบาะที่นั่งของคาร์ซีทเด็กนั่นเอง

ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อพูดถึงการใช้งาน Booster seat หรือคาร์ซีทสำหรับเด็กโตแล้วนั้น คุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ปกครองหลาย ๆ ท่านที่อาจจะเพิ่งรู้จักหรือเพิ่งเคยได้ยินชื่อของ Booster seat เป็นครั้งแรกอาจจะเกิดข้อสงสัยได้ว่า แล้วแบบนี้เราควรจะให้ลูก ๆ หลาน ๆ ของเราเริ่มต้นใช้งาน Booster seat ตอนอายุเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสมและปลอดภัยมากที่สุด วันนี้ Britax Thailand จึงได้ทำการรวบรวมมาให้แล้วกับสัญญาณเตือนสำคัญที่บ่งบอกว่าลูกน้อยของคุณควรเปลี่ยนมานั่ง Booster seat โดยจะมีรายละเอียดอย่างไรบ้างนั้นลองมาดูไปพร้อม ๆ กันได้เลยค่ะ


สัญญาณเตือนสำคัญที่บ่งบอกว่าคุณพ่อคุณแม่ควรมองหาบูสเตอร์ซีท Booster seat ให้กับลูกน้อย

1. ศีรษะของลูกน้อยไม่พอดีกับบริเวณเบาะรองศีรษะและพนักพิงของคาร์ซีท

หนึ่งในสัญญาณเตือนสำคัญที่จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองทุกท่านสามารถทราบได้ว่า ถึงเวลาที่ตนเองจะต้องทำการหาตัวช่วยเพิ่มความปลอดภัยในระหว่างการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลอย่าง Booster seat หรือคาร์ซีทเด็กโต มาให้กับลูกน้อยของตัวเองได้ใช้งานแล้วนั้น คือการที่เด็ก ๆ เริ่มมีการเจริญเติบโตทางด้านร่างกายที่เพิ่มมากขึ้น จนทำให้เด็ก ๆ ไม่สามารถนั่งอยู่บนเบาะที่นั่งของคาร์ซีทได้แบบพอดีตัวอีกต่อไป ซึ่งจะสังเกตได้จากการที่ช่วงศีรษะและลำคอของเด็ก ๆ อาจจะเลยขึ้นมาจากบริเวณเบาะรองศีรษะและพนักพิงของคาร์ซีทอย่างเห็นได้ชัด

รวมไปถึงการที่ขนาดของศีรษะของเด็ก ๆ นั้นเริ่มมีขนาดที่ใหญ่เกินกว่าที่จะสามารถวางอยู่ที่บริเวณ Headrest ได้อย่างพอดีโดยที่ไม่เกิดความรู้สึกอึดอัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคาร์ซีทเด็กบางยี่ห้อ อย่างเช่น คาร์ซีทของ Britax ที่ได้มีการนำเอาเทคโนโลยี V-shaped Headrest ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะเข้ามาประยุกต์ใช้ในการออกแบบ เพื่อให้ได้คาร์ซีทเด็กที่มีรูปทรงของเบาะรองศีรษะเป็นรูปตัววี (V) จึงส่งผลให้คาร์ซีทเด็กของ Britax จึงอาจจะมีความแคบของเบาะรองศีรษะที่มากกว่าคาร์ซีทเด็กจากบริษัทผู้ผลิตอื่น ๆ เพื่อให้คาร์ซีทเด็กของ Britax นั้นสามารถเข้ากันได้ดีกับรูปทรงศีรษะของเด็กเล็กหรือทารกแรกเกิด และสามารถช่วยล็อกตำแหน่งของศีรษะให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องเพื่อความปลอดภัยและการช่วยป้องกันการบาดเจ็บที่รุนแรงในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


2. ลูกน้อยมีน้ำหนักตัวหรือส่วนสูงที่มากเกินกว่าเกณฑ์ที่คาร์ซีทเด็กแบบทั่วไปกำหนด

ความปลอดภัยของเด็ก ๆ ทุกคนที่นั่งอยู่บนคาร์ซีทเด็กในระหว่างการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคล ถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของการออกแบบและการพัฒนาคาร์ซีทเด็ก ส่งผลให้คาร์ซีทเด็กในปัจจุบันนี้จึงถูกพัฒนาขึ้นมาให้มีความหลากหลายเพื่อให้สามารถรองรับกับสรีระร่างกายและพัฒนาการของเด็ก ๆ ในแต่ละช่วงวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อเด็ก ๆ มีน้ำหนัก ส่วนสูง หรืออายุที่มากเกินกว่าเกณฑ์ที่คาร์ซีทเด็กได้กำหนด ก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนที่สำคัญที่คุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครองทุกคนจะต้องทำการเปลี่ยนรูปแบบของคาร์ซีทจากการใช้งานคาร์ซีทเด็ก หรือคาร์ซีท isofix แบบทั่วไปให้มาอยู่ในรูปแบบของคาร์ซีทเด็กโตหรือบูสเตอร์ซีท (Booster seat) เพื่อความปลอดภัยที่มากที่สุดของลูกน้อย
 

เนื่องจากเมื่อเด็ก ๆ มีน้ำหนักหรือส่วนสูงที่เพิ่มมากขึ้น การใช้งานสายรัดนิรภัยแบบ 5 จุด (5-point harness) บนคาร์ซีทเด็กที่มีการพาดผ่านลงมาที่บริเวณระหว่างช่วงไหล่ทั้งสองข้าง สะโพก และต้นขาทั้งสองข้างนั้นอาจจะมีความคับและแน่นจนเกินไป จนทำให้ไม่สามารถช่วยตอบโจทย์ในด้านของความสะดวกสบายในระหว่างการนั่งอยู่บนคาร์ซีทในระหว่างการเดินทางให้กับเด็ก ๆ ได้อีกต่อไป ส่งผลให้เด็ก ๆ ที่มีน้ำหนักตัวที่มากเกินกว่า 15 กิโลกรัม แต่ยังไม่ถึง 18 กิโลกรัม จึงจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานจากสายรัดนิรภัยแบบ 5 จุดมาเป็นการใช้งานสายรัดนิรภัยแบบ 3 จุดแทน

แต่อย่างไรก็ตาม การจะต้องเลือกใช้งานสายรัดนิรภัยแบบ 3 จุดใน Booster seat หรือคาร์ซีทเด็กโต ก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ทำให้คุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครองหลาย ๆ ท่านเกิดความกังวลใจในเรื่องของความปลอดภัยของ Booster seat และความสามารถของคาร์ซีทเด็กโตในการช่วยป้องกันและลดความรุนแรงในการบาดเจ็บให้กับเด็ก ๆ ที่นั่งอยู่บนเบาะที่นั่งคาร์ซีทเด็กโต ส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตคาร์ซีทอย่าง Britax จึงได้มีการคิดค้นและพัฒนารูปแบบของคาร์ซีทเด็กโตขึ้นมาใหม่เพื่อช่วยให้เด็ก ๆ สามารถใช้งานสายรัดนิรภัยแบบ 5 จุดได้นานมากที่สุด หรือจนถึงเมื่อเด็ก ๆ มีน้ำหนักตัวอยู่ที่ 29 กิโลกรัม หรือมีส่วนสูงที่ 124.4 เซนติเมตร และช่วยให้คุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครองทุกท่านสามารถมั่นใจได้ว่าเด็ก ๆ ที่นั่งอยู่บนเบาะที่นั่งของคาร์ซีทเด็กโตนั้นจะได้รับความสะดวกสบายและได้รับการปกป้องอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดตลอดการเดินทาง

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

      


3. ลูกน้อยโตมากพอที่จะเข้าใจวิธีการใช้งานคาร์ซีทเด็กโต (Booster seat)

หนึ่งในปัญหาที่คุณพ่อและคุณแม่ที่กำลังมีลูกน้อยอยู่ในวัยที่จะต้องนั่งคาร์ซีท หรือคาร์ซีท isofix จะต้องพบเจอมากที่สุด คือการที่เด็ก ๆ พยายามที่จะทำการปลดสายรัดนิรภัยแบบ 5 จุดที่พาดผ่านอยู่บนตัวออกอยู่ตลอดเวลา ซึ่งแน่นอนว่าพฤติกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่อาจทำให้ตัวของเด็ก ๆ หลุดออกจากเบาะที่นั่งคาร์ซีทเมื่อเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันทางรถยนต์ ที่ส่งผลให้เกิดการชน การกระแทก หรือการประสานงาอย่างรุนแรง จนนำไปสู่การได้รับบาดเจ็บที่รุนแรงและอาจส่งผลเสียร้ายแรงที่ทำให้เด็ก ๆ เกิดความพิการหรือถึงแก่ชีวิตได้

เพราะฉะนั้นแล้วก่อนที่คุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครองทุกท่านจะให้ลูกน้อยของตนเองได้เปลี่ยนมาใช้งานคาร์ซีทเด็กโตหรือ Booster seat คุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครองทุกท่านก็จำเป็นที่จะต้องทำการพูดคุยและลองหากิจกรรมง่าย ๆ มาทดสอบความพร้อมให้กับลูกน้อยของตัวเองก่อนว่า เด็ก ๆ สามารถปฏิบัติตามคำสั่งของคุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครองทุกท่านได้อย่างถูกต้องหรือไม่ เพื่อเป็นการช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาที่เด็ก ๆ จะทำการปลดสายรักนิรภัยแบบ 3 จุดเล่นในระหว่างที่นั่งอยู่บนเบาะที่นั่งของคาร์ซีทเด็กโต พร้อมกันนี้เมื่อมีการติดตั้งคาร์ซีทเด็กโตหรือ Booster seat เพื่อการใช้งานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คุณพ่อและคุณแม่ยังควรที่จะทำการสังเกตให้แน่ใจอยู่เสมอว่าลูกน้อยของตัวเองนั้นมีความพร้อมและความเข้าใจที่มากเพียงพอที่จะไม่ทำการก้มหรือเอียงตัวไปมาในระหว่างที่ต้องนั่งอยู่บนเบาะที่นั่งของ Booster seat ได้ตลอดการเดินทางตามที่ได้มีการพูดคุยหรือทำข้อตกลงกันเอาไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่ เพื่อเป็นการช่วยเพิ่มความปลอดภัยที่มากที่สุดในระหว่างการเดินทางให้กับเด็ก ๆ ที่นั่งอยู่บนคาร์ซีทเด็กโตหรือ Booster seat ทุกคน

 

โดย Britax คือบริษัทผู้ผลิตคาร์ซีทเด็กโต หรือ Booster Seat จากเยอรมันที่ปลอดภัยที่สุด ด้วยมาตรฐานความปลอดภัยอย่าง ECE R44 และ ECE R129 หรือ i-Size และระบบคาร์ซีท ISOFIX รายแรกของโลก อีกทั้งยังได้รางวัลการันตีความปลอดภัยอีกมากมายจากหลายสถาบันในอุตสาหกรรมรถยนต์ และที่ Britax Thailand เราให้ความเชื่อมั่นกับลูกค้าว่าลูกค้าทุกท่านจะได้รับสินค้าที่มีการรักษามาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในทุก ๆ ขั้นตอน เพื่อให้คุณพ่อและคุณแม่ทุกท่านสามารถไว้วางใจในคุณภาพและความสบายของลูกน้อยในระหว่างการใช้งานคาร์ซีท และ รถเข็นเด็ก ทุกรุ่นของ Britax ได้เป็นอย่างดีเสมอ และเรายังมีบริการดูแลและรับประกันสินค้าสูงสุดถึง 24 เดือน ในกรณีสินค้าชำรุดสามารถตรวจสอบเงื่อนไขการรับประกันสินค้าได้ทางหน้าเว็บไซต์ทันที


สอบถามเพิ่มเติมและสั่งซื้อ

Call center : 02 538 6700

Call center : 084 388 3887

Email : Info@BritaxThailand.com

Line: @britaxthailand

 

คาร์ซีทสำหรับเด็ก 3.5 ปี - 12 ปี (Group 2-3)

  • คาร์ซีท Britax รุ่น TRAVELLER plus (3.5 ปี - 12 ปี)
    28,900.00 THB
    35,900.00 THB  (-19%)

    มีหลายคุณสมบัติให้เลือก

  • คาร์ซีท booster seat Britax รุ่น KIDFIX i-SIZE | 3.5 ปี - 12 ปี
    34,900.00 THB

    มีหลายคุณสมบัติให้เลือก

คาร์ซีทสำหรับเด็ก 9 เดือน - 12 ปี (Group 1-2-3)

  • ใหม่ล่าสุด
    คาร์ซีท booster seat Britax รุ่น ADVANSAFIX PRO (15 เดือน - 12 ปี)
    29,900.00 THB
    34,900.00 THB  (-14%)

    มีหลายคุณสมบัติให้เลือก

  • ใหม่ล่าสุด
    คาร์ซีท booster seat Britax รุ่น ADVANSAFIX i-SIZE (15 เดือน - 12 ปี)
    36,900.00 THB

    มีหลายคุณสมบัติให้เลือก

Visitors: 733,948